jjjinsur.com ประกันรถถูกๆ ต่อง่าย คุ้มครองเลย

เจเจเจอินชัวร์ (JJJ insur)

JJJInsur.com

แบตเตอรี่รถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ทุกคัน เพราะหากแบตเตอรี่หมด แน่นอนว่ามันก็จะไม่สามารถขับเคลื่อนไปไหนได้ ต้องใช้รถลาก หรือ จั๊มแบตกับรถยนต์คันอื่น เพื่อให้สามารถใช้งานได้ ในวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจกันให้มากขึ้นเกี่ยวกับ แบตเตอรี่รถยนต์ กันน่ะ ไปกันเล๊ยยยยยยย


แบตเตอรี่รถยนต์คือแบตเตอรี่ประเภทตะกั่วกรดสามารถจำแนกได้ 3 ชนิด

แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดน้ำ(แบบเปียก) คือแบตเตอรี่รถยนต์ที่ต้องดูแลรักษาโดยการเติมน้ำกลั่นทุกเดือน ลักษณะแบตเตอรี่เปียกจะมีช่อง 6 รูพร้อมฝาหมุนปิด ราคาค่อนข้างถูก สามารถใช้งานได้ประมาณ 1.5 ถึง 2.5 ปีหรือ 60,000-80,000 กิโลเมตรขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา

แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดกึ่งแห้ง(แบบกึ่งแห้งหรือMF) คือแบตเตอรี่ที่ถูกพัฒนาไม่นานนัก มีคุณสมบัติคล้ายกับแบบน้ำแต่ดูแลรักษาง่ายกว่าโดยคอยเติมน้ำกลั่นทุกๆ 4-6 เดือนเนื่องจากน้ำกรดข้างในมีความเข้มข้นสูงกว่าจึงระเหยตัวได้ช้ากว่า ราคาก็จะแพงกว่าแบบเปียก สามารถใช้งานได้ประมาณ 2 ปีหรือ 70,000 ถึง 80,000 กิโลเมตร

แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดแห้ง(แบบแห้งหรือSMF) แบตเตอรี่ชนิดนี้ไม่มีรูเติมน้ำกลั่น ไม่ต้องดูแลรักษา มีตาแมวเอาไว้แสดงสถาณะไฟในแบตเตอรี่ ราคาค่อนข้างสูง แต่ใช้งานได้ทนทานโดยอายุงานเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3ปี


แบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้กี่ปี

ถ้าถามถึงอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ อาจจะอยู่ได้ 2 ปีขึ้นไป หรือ บางคันน้อยกว่านั้น เราคงไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจน เพราะการใช้งานของแต่ละบุคคล แต่ละคันไม่เหมือนกัน มีหลายปัจจัยที่จะทำให้แบตเตอรี่หมดก่อนความเป็นจริงได้ทั้งนั้น


สิ่งที่มีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่

  • สภาพอากาศ และอุณหภูมิ 

แบตเตอรี่รถยนต์ส่วนใหญ่จะมีโอกาสเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติในสภาพอากาศที่หนาวจัดหรือร้อนจัด และยิ่งถ้าต้องจอดรถในสภาพแวดล้อมดังกล่าวเป็นเวลานานก็ส่งผลให้แบต เสื่อมสภาพเร็วได้

  • ความผิดปกติของระบบชาร์จไฟ หรือการดัดแปลงไดชาร์จ 

หากไดชาร์จเกิดการเสื่อมสภาพ มีการปล่อยกระแสไฟฟ้าที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยไปยังแบตเตอรี่ ทำให้มีโอกาสที่ไฟในแบตเตอรี่จะรั่วไหลและไม่สามารถเก็บไฟได้แม้ในขณะที่สตาร์ตเครื่องยนต์ นอกจากนี้หากมีการดัดแปลงไดชาร์จให้ชาร์จกระแสไฟได้เร็วยิ่งขึ้นจะทำให้มีกระแสไฟไหลเข้าสู่แบตเตอรี่มากกว่าปกติ ส่วนใหญ่พบได้ในรถที่ดัดแปลงเครื่องเสียง

  • การต่อขั้วแบต ไม่ดี 

ในส่วนของการติดตั้งแบตเตอรี่นั้นหากมีการต่อขั้วแบต ไม่ดี หลวม หรือบริเวณขั้วต่อมีสนิม ก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การไหลของกระแสไฟและระบบการชาร์จไฟกลับเข้ายังแบตเตอรี่นั้นทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้แบตฯ เสื่อมเร็วนั่นเอง

  • การใช้งาน เปิดไฟหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในรถทิ้งไว้

หลักปฏิบัติโดยทั่วไปก็คือผู้ใช้รถควรตรวจสอบไฟภายในห้องโดยสารหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ในรถทุกครั้งก่อนลงจากรถ เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่ต้องจ่ายไฟจนหมด ส่งผลให้รถสตาร์ตไม่ติด และเป็นสาเหตุของการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ได้


อาการแบตเตอรี่รถยนต์เสื่อม ดูยังไง

1. เครื่องยนต์สตาร์ตติดยากหรือสตาร์ตไม่ติด 

การสตาร์ตรถยนต์นั้นจะใช้ไฟจากแบตเตอรี่มากที่สุด และหากเครื่องยนต์มีการหมุนช้าลงและสตาร์ตติดได้ยาก สาเหตุหนึ่งก็มาจากการที่แบตเตอรี่เริ่มเก็บประจุไฟไม่อยู่ และจ่ายไฟได้น้อยลง กับอีกกรณี หากทำการสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วมีเสียงการหมุนของเครื่องยนต์แต่รถก็ยังสตาร์ตไม่ติด ปัญหานี้มักเกิดจากกำลังไฟในแบตเตอรี่ไม่พอแล้วนั่นเอง

2. ไฟหน้าสว่างน้อยลง 

ทุกครั้งที่ต้องขับรถในเวลากลางคืนแล้วต้องเปิดไฟหน้า ให้ลองสังเกตดูว่าแสงไฟมีความสว่างลดลงไม่สว่างเหมือนก่อน ก็สันนิษฐานได้ว่าแบตเตอรี่กำลังมีปัญหา

3. ได้กลิ่นเหม็นผิดปกติ 

หากแบตเตอรี่มีกลิ่นเหม็นเหมือนไข่เน่านั่นเป็นสัญญาณบอกอย่างหนึ่งว่าแบตเตอรี่กำลังรั่วและเกิดการชำรุด หากยังฝืนใช้งานต่ออาจเป็นอันตรายและสร้างความเสียหายหรือกัดกร่อนส่วนประกอบอื่น ๆ ในรถของคุณได้ ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ในทันที 

4. ต้องพ่วงแบตเตอรี่อยู่เป็นประจำ 

สาเหตุนี้ไม่ได้แยกว่าจะต้องเป็นรถใหม่หรือรถเก่าเพราะสามารถพบเจอได้ทั้งหมด เนื่องจากการลืมปิดไฟหน้ารถหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าบางอย่างทำให้แบตหมด จึงจำเป็นต้องใช้วิธีการพ่วงแบตเป็นประจำ แต่การพ่วงแบตบ่อย ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด อาจทำให้แบตเสื่อมเร็วกว่าปกติได้

5. ความผิดปกติของแบตเตอรี่ 

ปัญหาของแบตเตอรี่หมดไวหรือเสื่อมนอกจากเกิดจากการใช้งานของเราแล้ว ยังเกิดได้จากคุณภาพและมาตรฐานการผลิตของแบตเตอรี่นั้น ๆ ได้ เช่น แบตเตอรี่มีอุณหภูมิที่สูง, แบตเตอรี่มีการสะสมความเป็นกรด และแบตเตอรี่บวม 

6. สัญลักษณ์บนแบตเตอรี่เปลี่ยนไป 

ปัจจุบันผู้ผลิตแบตเตอรี่จะทำช่องไว้สำหรับสังเกตแบตเตอรี่ว่ายังอยู่ในระดับการใช้งานปกติหรือไม่ โดยจะมีแถบให้เปรียบเทียบสัญลักษณ์อยู่บนแบต ซึ่งเราสามารถสังเกตและตรวจสอบได้ด้วยตัวเอง


เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ครั้งต่อไปควรเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดไหน

เราควรเลือกซื้อตามพฤติกรรมการดูแลรักษาของเรา โดยถ้าเราไม่มีเวลาดูแลรักษาแบตเตอรี่ ก็ไม่ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ชนิดน้ำ นั่นหมายถึงถ้าลืมเติมน้ำ แบตเตอรี่จะเสื่อมอายุทันที ซึ่งทำให้เราเสียเงินอีก ดังนั้นควรจ่ายเงินซื้อแบตเตอรี่ชนิดแห้งจะดีกว่า และขนาดของเครื่องยนต์ก็เป็นส่วนสำคัญในกรณีที่เราใช้รถยนต์ขนาด 3,000 ซีซี. ซึ่งควรใช้แบตเตอรี่ที่มีขนาด 85แอมป์ขึ้นไป ควรเลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมป์สัมพันธ์ตามขนาดของเครื่องยนต์ และถ้าเราใช้รถยุโรป เราก็ไม่ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขั้วลอยที่ใช้สำหรับรถญี่ปุ่นแม้ว่าจะมีขนาดแอมป์เท่ากัน สาเหตุเนื่องมาจากรถยุโรปต้องการกระแสไฟที่แรงกว่าและมีความต้านทานสูงกว่าดังนั้นเราควรใช้แบตเตอรี่สำหรับรถยุโรป(แบตเตอรี่ขั้วจม) ควรเลือกซื้อแบตเตอรี่ที่ใหม่สดจากโรงงานเพราะแบตเตอรี่ก็มีอายุงานไม่เกิน3ปีหลังจากผลิต


วิธีการเลือกและรักษา ” แบตเตอรี่ ” รถยนต์

1.อย่ารอให้แบตเตอรี่เสื่อม จนสตาร์ทรถไม่ติด

เราควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบเปียก ( มีช่องกลมๆ ไว้ให้เปิดเติมน้ำกลั่นและต้องดูแลสม่ำเสมอ ) หรือแบบกึ่งแห้ง (ส่วนใหญ่จะถูกซีลปิดไว้ ไม่เห็นช่องเติมน้ำกลั่น และไม่ต้องดูแลมาก) มักมีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกิน 2-3 ปี แต่ถ้าเป็นแบตเตอรี่แบบแห้งที่มีราคาสูงมาก จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเท่าตัวหรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับการใช้งานและการดูแลรักษา โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนแบตเตอรี่ ร้านค้าหรืออู่ซ่อมรถจะทำสัญลักษณ์ไว้ที่แบตเตอรี่เพื่อระบุระยะเวลาเริ่มการรับประกัน ซึ่งเราก็สามารถเอาไว้เช็คได้ด้วยว่าแบตเตอรี่จะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนเมื่อไร

2.ตรวจสภาพแบตเตอรี่เป็นประจำ

ถึงแม้ปัจจุบันแบตเตอรี่รถยนต์บางประเภทอาจไม่จำเป็นต้องได้รับการดูแลเลยตลอดอายุการใช้งาน แต่คุณก็ควรตรวจเช็กสภาพแบตเตอรี่อย่างน้อยทุกๆ 2 ปี โดยเฉพาะเมืองไทยที่มีสภาพอากาศร้อนตลอดทั้งปี (เพราะความร้อนจะส่งผลให้แบตเตอรี่ทุกแบบเสื่อมเร็วขึ้น)

3.เลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดพอดีกับรถ

ทุกครั้งที่เปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ โดยเฉพาะเมื่อร้านนำมาเปลี่ยนให้  ควรตรวจสอบหรือย้ำให้แน่ใจว่า แบตเตอรี่ใหม่นั้นมีขนาดที่ถูกต้องและสามารถวางได้พอดีกับฐานแบตเตอรี่รถของเรา โดยดูได้จากคู่มือประจำรถหรือสอบถามจากร้านที่จำหน่ายได้โดยตรง หรือถ้ายังไม่แน่ใจให้ย้ำไปเลยว่านำมาใช้กับรถยี่ห้อ-รุ่นปีอะไร

4.เลือกความจุแบตเตอรี่ให้เหมาะสม

สำหรับการเลือกเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เราสามารถยึดตามของเดิมได้เลย (ถ้าไม่แน่ใจว่าของเดิมคือรุ่นไหน ให้เช็คจากคู่มือประจำรถ) และไม่ควรลดขนาดความจุของแบตเตอรี่หรือแอมป์ลงโดยเด็ดขาด เพราะผู้ผลิตรถยนต์คำนวณแอมป์ที่เหมาะสมกับการใช้งานของรถยนต์รุ่นนั้น ๆ ไว้แล้ว และไม่ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้มีแอมป์สูงเกินกำหนดเช่นกัน หากไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติม เช่น เครื่องเสียงหรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่น ๆ

5.เลือกแบตเตอรี่ที่ให้กำลังสตาร์ทเพียงพอ

กำลังสตาร์ทที่ว่า จะถูกระบุด้วยค่า CCA (Cold-Cranking Amps) ที่เป็นคนละค่ากับขนาดความจุของแบตเตอรี่ (Ah หรือแอมแปร์-ชั่วโมง) ซึ่งค่า CCA เป็นค่าสำหรับบอกว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นมีความสามารถในการจ่ายไฟ เพื่อให้มอเตอร์สตาร์ทดึงไฟไปใช้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้แค่ไหน ซึ่งเครื่องยนต์แต่ละขนาดต้องการค่า CCA ไม่เท่ากัน ยิ่งเครื่องยนต์ที่มีขนาดความจุมากก็ต้องการค่า CCA มากตาม อย่างไรก็ตาม ค่า CCA ของแบตเตอรี่แต่ละยี่ห้ออาจใช้มาตรฐานในการวัดต่างกัน ซึ่งมีทั้ง SAE, EA, IEC และ DIN ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต เพราะฉะนั้นจะดูค่า CCA เฉพาะตัวเลขอย่างเดียวอาจผิดพลาดได้ ควรจะต้องดูทั้งหมดว่าตัวเลขที่ระบุนั้นใช้มาตรฐานใดวัด และไม่ควรต่ำกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้

6.เลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตใหม่เสมอ

แบตเตอรี่ใหม่ที่ยังไม่ถูกจำหน่ายและใช้งาน ก็สามารถเสื่อมคุณภาพลงได้ ดังนั้น เพื่อให้ได้แบตเตอรี่ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดควรเลือกแบตเตอรี่ที่ผลิตไว้ไม่เกิน 6 เดือน โดยจะมีรหัสเฉพาะระบุไว้ อาจใช้ตัวเลขและตัวอักษรแทน วัน/เดือน/ปี ที่ผลิต อาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ เช่น อักษรแทนเดือน ตัวเลขแทนปี เป็นต้น เพราะยิ่งแบตเตอรี่ถูกเก็บไว้นานจะยิ่งมีความชื้นในตะกั่วเยอะ ชาร์จไฟยาก และบางร้านที่จำหน่ายก็ไม่ได้ชาร์จไฟแบตเตอรี่จนเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ก่อนนำมาขาย ซึ่งทำให้อายุของแบตฯ ลูกนั้นสั้นลงโดยที่เราไม่รู้ตัว

7.ควรรีไซเคิลแบตเตอรี่เก่า

แบตเตอรี่เก่ามีค่าและนำไปรีไซเคิลได้ เพราะร้านที่จำหน่ายแบตเตอรี่มักจะรับเทิร์นแบตเตอรี่เก่าอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่จะนำไปลดราคาแบตเตอรี่ลูกใหม่ให้ ดังนั้นอย่าลืมสอบถามว่าแบตเตอรี่ลูกใหม่ราคาเท่าไร และราคาดังกล่าวหักค่าเทิร์นแบตเตอรี่เก่าแล้วหรือยัง หากไม่แน่ใจลองสอบถามเปรียบเทียบราคาจากร้านอื่น ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ

8.เปรียบเทียบการรับประกัน

เป็นสิ่งที่สำคัญมากและไม่ควรมองข้าม สำหรับการเลือกแบตเตอรี่ใหม่ คุณควรตรวจสอบการรับประกันแบตเตอรี่ของทางร้านค้าที่ซื้อทุกครั้ง เพราะอาจระบุระยะเวลารับประกันต่างกัน ซึ่งโดยปกติแบตเตอรี่รถยนต์จะมีระยะเวลารับประกันตั้งแต่ 1-2 ปี แล้วแต่ยี่ห้อของแบตเตอรี่ นอกจากระยะเวลารับประกัน ควรสอบถามรายละเอียดหรือเงื่อนไขการรับประกันด้วยว่าครอบคลุมหรือไม่ครอบคลุมอะไรบ้าง เพราะจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง แต่หลักๆแล้วเงื่อนไขการรับประกันของแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่ต่างกันมากนัก



ด้วยความปรารถนาดีจาก เพจ ประกันรถถูกๆ ต่อง่ายๆ คุ้มครองเลย

สาระน่ารู้เรื่อง ประกันรถยนต์ที่ จริงจัง จริงใจ จริงจริง ♥

สนใจซื้อประกันรถยนต์ คลิ๊ก

Scroll to Top